วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เจตาแก้วโป่งข่าม บ้านแม่แก่ง

แก้วโป่งข่ามหรือ ควอทซ์ (Quarts)  นั้น นำมาจากหินธรรมชาติที่ถูกบ่มเพาะในชั้นหิน ดิน ทราย พัดพาด้วยลมและน้ำ ในกาลเวลายาวนาน อายุนับหลายล้านปี เราจึงเชื่อกันได้ไม่ยากว่า แก้วต่างๆ นั้นมีพลังงานบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีสัน ลวดลายของแก้ว  ซึ่งบางคนถึงกับเอ่ยว่า ไม่ถือว่าเกินจริงหรอก ถ้าจะเรียกแก้วโป่งข่ามว่า  แก้วที่มีชีวิต
ความมีชีวิตที่ว่านี้ คือความสัมพันธ์ระหว่างก้อนหินกับมนุษย์ตั้งแต่ผู้ที่นำขึ้นมาจากใต้ดิน ตั้งแต่อดีตกาลมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีช่างขุดนับร้อยชีวิต จากวัยหนุ่มถึงวัยชรา ที่ทุ่มเทใช้เวลาแต่ละวันอยู่ในหลุดขุดเพื่อตามหาแร่มีค่านี้ เมื่อไหร่ที่พบก็จะเกิดความยินดีปรีดามาก ขั้นตอนต่อมาคือการส่งต่อเพื่อเจียระไน การนำไปตกแต่งให้สวยงาม เข้าสู่การเป็นเครื่องประดับ กระทั่งไปถึงมือผู้ถือครอง น้อยคนนักที่จะแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ในความงามของแก้วโป่งข่าม มีแต่ความอิ่มเอมใจ ความมั่นใจในตัวเอง รู้สึกได้ถึงความงามและรัศมีที่เปล่งประกายเสริมบุคลิกให้เด่นชัดขึ้นมา
พลังที่ซ่อนในโป่งข่าม
แก้วโป่งข่าม ก็เหมือนอัญมณีอื่นๆ ที่มาจากก้อนหินอันดูดซับเอาพลังงานธรรมชาติเอาไว้ในตัวเองนี้ เมื่อสัมผัสกับร่างกายของมนุษย์ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานเช่นกัน  ร่างกายกับหินจะเกิดการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ความเชื่อที่ว่า อัญมณีเลือกเจ้าของ และเจ้าของคือผู้รักษาอัญมณีจึงมีสืบทอดกันมาเสมอๆ
เมื่อไหร่ที่แร่ธาตุและพลังงานได้ถ่ายทอดสู่ร่างกายเจ้าของแล้ว ก็บันดาลให้เกิดความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึก อารมณ์ สภาวะจิตใจโดยที่อธิบายหาเหตุผลชัดเจนไม่ได้ บางครั้งเราพบว่าคนจึงใช้อัญมณีเพื่อกระตุ้นพลังจักระแก่ร่างกาย ไม่ใช่เพื่อให้แค่ตัวเองดูสวยงามเท่านั้น อีกทั้งยังใช้บำบัดโรค ใช้เติมเต็มจิตวิญญาณที่ขาดหาย ใช้สร้างสัมพันธ์ภาพที่ดี โดยที่แม้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่านั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้
ดังนั้น  หากคุณชอบสะสมแก้วโป่งข่าม ไม่เพียงแต่เลือกตามสีสันที่ชอบเท่านั้น ลองศึกษาถึงคุณสมบัติอย่างละเอียด จะเกิดคุณต่อตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
พลังโป่งข่ามในมุมวิทยาศาสตร์
เหตุใดสัตว์หลายๆ ชนิด ที่เราได้ยินว่ามันเดินทางไปแสวงหาอาหารข้ามขอบโลก ถึงยังเดินทางกลับไปถิ่นเดิมของมันได้ ทั้งที่เราประเมินว่าเหล่าสัตว์พวกนั้น เช่น นก หรือ ปลา ไม่น่าจะมีความทรงจำที่ยาวนานขนาดนั้น ในเชิงวิทยาศาสตร์อธิบายว่านั่นคือการอาศัยสนามแม่เหล็กของโลก ซึ่งมีคลื่นสนามอันกระเพื่อมตลอดเวลา และบางครั้งเครื่องวัดยังจับได้ไม่ละเอียดเท่าสัตว์บางชนิด
ในเรื่องของอำนาจแห่งโป่งข่ามก็เช่นกัน มีความเชื่อว่า พลังแห่งสนามแม่เหล็กนี้เอง ทำให้เกิดศักย์ไฟฟ้าที่แก้วโป่งข่าม เหมือนถ่านไฟฟ้าที่ประจุชาร์ทพลังงานมานับร้อยปี พันปี ล้านปี พลังสะสมที่มากขึ้นแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้มีพลังต่างกันและคุณสมบัติของแร่ต่างกัน สีสันของแร่สะท้อนถึงพลังในรูปแบบต่างกัน
ในประเทศไทย แหล่งกำเนิดแห่งแก้วโป่งข่าม แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง คือที่ อ.เถิน จ.ลำปาง ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่อดีตกาลเคยมีลาวาไหลผ่านชั้นหินบนผิวดินจนเกิดการเคลือบแร่ธาตุเอาไว้ หลักฐานทางธรณีวิทยาคือการเกิดรอยเลื่อนมีพลัง ที่ อ.เถิน มีระยะทางถึง 90 กิโลเมตร ปัจจุบันยังมีการไหวตัวเป็นระยะๆ ซึ่งแสดงถึงการประทุอยู่ของแมกม่าใต้โลก ซึ่งเท่ากับว่าทุกวันนี้ยังมีกระบวนการผสมปนเปกันของแร่ธาตุกับแมกม่าที่ทะลักเป็นลาวาในอดีต และตกผลึกกำเนิดเป็นแก้วโป่งข่ามที่ทรงคุณค่า ความงาม และพลังอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้ในอนาคต
ตำนานที่มา แห่งพลังโป่งข่าม
จากบันทึกโบราณ เคยมีผู้เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่โป่งข่ามจะแพร่หลายไว้ว่า ในยุคสมัยหนึ่ง มีนายพรานนักล่าเนื้อบนโดยโป่งหลวง (ดอยในเขต อ.เถิน จ.ลำปาง) จากที่เคยล่าสัตว์ชำนาญเป็นอาชีพ วันหนึ่งกลับล่าไม่ได้
เมื่อเจอสัตว์ก็เล็งไปด้วยธนู หากแต่พยายามสักเท่าใด ก็ยิงสัตว์ไม่ถูกจนต้องประหลาดใจในฝีมือตนเอง เลยคิดไปว่า มีอะไรบางอย่างที่คุ้มกันอันตรายให้สัตว์เหล่านี้ นายพรานจึงได้เดินทางสำรวจ สังเกต บริเวณรอบดอยโป่งหลวง แล้วก็ได้พบร่องรองของหินคล้ายแก้วอย่างหนึ่ง มีสีฟ้าออกเทา ด้วยความสงสัย จึงค่อยๆ ย่องตามสัตว์ไป กระทั่งพบแหล่งที่มา
สัตว์เหล่านั้นพากันออกมาหากินดินโป่ง แห่งหนึ่ง สัตว์บางตัวที่บาดเจ็บก็กลับหาย แข็งแรงตามปกติ นายพรานจึงเรียกดินโป่งแห่งนั้นว่า โป่งข่ามซึ่ง ข่ามมีความหมายในทางล้านนา หมายถึง การอยู่ยงคงกะพัน นั่นเอง




ความศักดิ์สิทธิ์ของโป่งข่าม
บางคนเรียกแก้วโป่งข่ามว่า แก้ววิเศษนั่นเพราะเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของแก้วชนิดนี้ ด้วยเชื่อว่าเป็นสมบัติจากพระแม่ธรนี ซึ่งมักจะมีเรื่องเล่าในทางภาคเหนือสืบต่อกันมาเสมอว่า บางครั้งในยามใกล้รุ่ง หรือ จวนค่ำ จะพบแสงประหลาดเดินทางออกจากบ่อโป่งข่าม แล้วล่องลอยไปเรื่อยๆ เหมือนเดินทางไปเที่ยว บ้างก็ไปโผล่ในป่า บ้างก็โผล่ตามหมู่บ้าน แสงที่ว่านี้เชื่อว่าคืออานุภาพศักดิ์สิทธิ์ของแก้วโป่งข่ามนั่นเอง
ในสมัยโบราณ แก้วโป่งข่าม นั้นจำเป็นต้องเก็บไว้ให้ชายฉกรรจ์ที่ต้องการไปเป็นทหาร ออกรบ หรือต่อสู้กับผู้ร้าย เช่น ตำรวจ ทหาร ต่างแสวงหาแก้วโป่งข่ามที่ตนชอบเก็บไว้ติดตัว เพื่อช่วยให้ ข่ามหรือคงกระพันยามเจอศัตรู ซึ่งเหตุผลถัดมาที่คนนิยมสะสมก็เพราะเป็นเครื่องประดับที่ราคาไม่แพง แต่มีความสวยงาม คงทน บ้างก็เชื่อว่าสะสมไว้จะทำให้โชคดี เป็นมงคล ทำมาค้าขึ้น ซึ่งสามารถศึกษาคุณสมบัติได้จากแก้วโป่งข่ามแต่ละชนิด

พลังและความศักดิ์สิทธิ์ของแก้วโป่งข่ามนั้นอยู่ที่ความเชื่อของผู้ที่ชื่นชอบและศรัทธา บ้างก็ว่าแก้วโป่งข่ามจะแสดงพลังให้เห็นแต่กับเจ้าของผู้ถือครองเท่านั้น บ้างก็ว่าจะแสดงให้เห็นเมื่อได้อาศัยอยู่ร่วมกันในระยะหนึ่งผ่านไป และจะทราบเพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้มีปรากฏการณ์ในเชิงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ แต่พลังที่ซ่อนอยู่ในแก้วโป่งข่ามก็แสดงออกมาชัดเจนในเรื่องของความมหัศจรรย์แห่งเส้นสายลายสีของแร่บนตัวแก้ว ซึ่งนำมาซึ่งความสุข ความมงคล และความเบิกบานของผู้สะสมนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น