วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การกำเนิดลวดลายในแก้ว

การกำเนิดลวดลายในเนื้อแก้ว ตามหลักศาสตร์โบราณ


  เป็นความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณที่เชื่อว่าแก้วเหล่านี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองอยู่ จิตวิญญาณเหล่านี้เป็นเทวดาประเภทหนึ่ง  ซึ่งในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึง อย่างคันธัพเทวา ที่หมายถึงเทพยดาที่ปฏิสนธิในไม้ชนิดต่างๆ และยังหมายถึงเทวดา หรือจิตวิญญาณที่อยู่กับวัตถุธาตุทั้งที่ปฏิสนธิโดยธรรชาติ หรือทั้งมนุษย์ผู้มีบารมีอันเชิญมา อย่างการปลุกเสกเครื่องรางของขลังเป็นต้น

          เทวดา หรือจิตวิญญาณเหล่านี้คล้ายกับเราๆตรงที่มีอุปนิสัยใจคอ ลักษณะ และความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เมื่อเข้ามาครองธาตุขันธ์ที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุทั้ง ๔ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกับวิญญาณ ก็จะเกิดการก่อรูป (ในที่นี้หมายถึงตอนที่กำเนิดแก้วก้อนนั้นๆ)
          ตามที่กล่าวในพระไตรปิฎกว่า "วิญญาณเป็นปัจจัยให้กำเนิดนามรูป" ตรงนี้จึงทำให้แก้วแต่ละก้อน หรือแต่ละดวงนั้นแตกต่างกันจนเกิดเป็นการจำแนกคุณลักษณะภายนอกของแก้ว จากภูมิปัญญาโบราณที่ปรากฏทำให้เราสามารถแยกลักษณะจากรูปภายนอกเพื่อเข้าถึง นามรูปที่ปรากฏอยู่ภายในที่ซ้อนในอีกมิติหนึ่ง

ชนิดของแก้วโป่งข่ามอาศัยหลักในการพิจารณาดังนี้
๑. ว่าด้วยน้ำของแก้ว
     ซึ่งพิจารณาได้ ๒ ส่วนคือ ๑.๑) น้ำแก้ว และ ๑.๒) ตัวแก้ว ซึ่งมีหลักดังนี้
     ๑.๑) น้ำแก้ว ซึ่ง น้ำแก้ว นั้นยังสามารถแบ่งได้อีกคือ
          ๑.๑.๑) ประเภทน้ำใส เป็นแก้วที่ใส แสงส่องทะลุเหมือนกระจกได้ แต่ภายในอาจมีรอยราน หรือเหลี่ยมแก้วภายในทำให้เกิดการสะท้อนแสงภายในแก้วต่างๆกัน ถือเป็นลักษณะพิเศษ ซึ่งได้แก่ แก้วน้ำหาย (แก้วน้ำค้าง) น้ำแก้วน้ำใส (น้ำแก้วแร่ใน) ประกายแก้ว (วาวระยิบระยับคล้ายรอยสะเก็ดแก้วรอบๆ) แก้วกระจาย (วาวของทรายแก้วที่กระจายรอบๆ) ปวกแก้ว (ปวกน้ำดาวกระจาย-ไข่ปู) และ รุ้ง ๗ สี (รุ้งโปร่งแสง)
          ๑.๑.๒) ประเภทน้ำขุ่น คือแก้วที่มีความใสบางส่วน มีแร่ หรือแก้วทึบทำให้ดูเหมือนน้ำใสแล้วมีตะกอนขุ่นข้างใน ซึ่งลักษณะเหมือนแก้วมีตำหนิไม่ใส แต่ความจริงแล้วเป็นแก้ววิเศษ เพราะลัษณะต่างๆที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวบอกได้ว่าแก้วเหล่านี้มีคุณวิเศษด้านใด อันได้แก้ ขุ่นเนื้อลำไย (ขุ่นมีมันเวลาขัดขะขึ้นเงา) ขุ่นเมื้อมัน ขุ่นเนื้อด้านกินบ่เสี้ยง ขุ่นเนื้อด้าน ขุ่นเนื้อด้านมีแร่ เหลือบ (คือมีแร่วิ่งตามลำสะท้อนแสง)
          ๑.๑.๓) ประเภทน้ำตัน คือแก้วที่ทึบแสง เรียกว่า ตัน แต่เนื้อแก้วมีความมันวาว
อาจมีสินแร่ หรือลักษณะบางประการอยู่ที่ตัวเม็ดแก้ว ซึ่งได้แก่ ตันด้าน ตันมีแร่ ตันมัน ตันกินบ่เสี้ยง เป็นต้นค่ะ

     ๑.๒) ตัวแก้ว พิจารณาตั้งแต่หน้าแก้ว (บนแก้ว) กลางแก้ว และพื้นแก้ว (ก้นแก้ว) ว่าน้ำแก้วเป้นอย่างชนิดดีมาก ดีปานกลาง หรือว่าไม่สู้ดี ดูว่ามีตำหนิหรือไม่ ถ้ามีรอยประการแทรกอยู่ ลองหมุนดูรอบๆ หากเป็นประกายขาวๆดำๆ เหลือบกันในขณะที่มุนดูรอบๆก็แสดงว่าเป็นแก้วร้าว  แก้วดีแต่มีตำหนิอาจจะมีราคาสู้แก้วปานกลางแต่ไม่มีตำหนิไม่ได้ แก้วราคาดีอยู่ในประเภทหิวแก้ว ถ้าแก้วจำพวกมัวทึบ อาจจะเป็นพวกหินสี ซึ่งจะมีค่าต่ำกว่า

     แก้วหินแท้จะมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าแก้วกระจกธรรมดา ซึ่งสามารถทดลองดูง่ายๆได้ด้วยการนำเอาแก้วทั้งสองชนิดแตะดูที่แก้มจะพบว่า มีความเย็นที่ผิดกัน

๒. ว่าด้วยสีของแก้ว
     สีของแก้วโป่งข่ามเท่าที่พบ ทั้งที่มาจากแท่งหินแก้วหนุมาน และก้อนหินเนื้อตันที่มีต่างๆ เช่นสีฟ้า สีน้ำเงิน สีน้ำเหล็ก (สีน้ำแกร่ง) สีหม่น สีเขียว สีน้ำตาล สีหนามเฮี้ยง (สีวิตูลน้ำผึ้ง) สีเหลือง สรประภาส้มชื่น (ชมพูอ่อน) สีแดง สีขาว (ขุ่นมัน และขุ่นตัน) สีก้อ (สีทับทิม) สีม่วง (สีดอกตะแบก) สีดำมหานิล กินบ่เสี้ยง สีนิลเผือก สีหมอก สีทั้งหมดนี้ เฉพาะสีม่วง และสำดำมหานิล มีอยู่น้อยมากจนเกือบไม่เป็นลักษณะหินแก้วจากโป่งข่าม

๓. ว่าด้วยลวดลายประกอบภายในเนื้อแก้ว

     หมายถึงสิ่งที่มีอยู่ในแก้วเม็ดนั้น ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสวยหรือไม่ อย่างไร และทำให้แก้วดวงนั้นดูเด่นขึ้น หรือตลอดจนมีสิ่งที่อยู่ในเนื้อแก้วมากเกินไป ร้อนเกินไป ถ้าเป็นลวดลายต่างๆ ก็ดูลักษณะลวดลายนั้นว่าดีเด่นเพียงใด สิ่งประกอบนึ้ขึ้นอยู่กับการเลือกตำแหน่งของช่างเจียรไนด้วย

     ๓.๑) ประเภทที่เกิดในแก้วโป่งข่าม สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
          ๓.๑.๑) ประเภทสลักหิน พรายเงิน น้ำใสอมฟ้าหม่น
          ๓.๑.๒) ประเภทสลักลอย ช่อแก้ว น้ำใส ฟ้าอ่อน
          ๓.๑.๓) ประเภทปวกครั่งเขียว ทรายคำ น้ำใสเขียว
          ๓.๑.๔) ประเภทเส้นเหล็ก ลายทแยง น้ำใสประกายแก้ว

     ๓.๒) สิ่งที่อยู่ในแก้ว อยู่ในประเภทอะไรบ้าง เช่น แก้วปวก แก้วกาบ ใย แก้วเข้าแก้ว หรือประเภทเส้นต่างๆ ล้วนเป็นธรรมชาติของแร่ที่เข้าไปตกผลึกอยู่ภายในทั้งสิ้น พวกกาบที่สวยที่สุดคือ กาบเป็นรูปดกไม้ กาบต่างๆเป็นแร่อีกชนิดหนึ่งที่ต่างไปจากเนื้อแก้ว



ถ้าเห็นช่อแก้วคล้ายดอกไม้บางที อาจเป็นเพรากรรมวิธี หรือรอยแก้วร้าว สังเกตข้อแตกต่างให้ดี เส้นต่างๆที่เรียกว่าเส้นเหล็กถ้าเป็นของบ่อโป่งข่ามจะมีลักษณะเหมือนเส้นผม หรือเหมือนเข็ม บางทีเหมือนจนแปรงที่ออกเป็นพุ่ม เป็นแร่ธาตุต่างกันออกไปค่ะ

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ที่มาของแก้วโป่งข่าม








ก่อนจะได้แก้วมา ต้องเดินไปขุดแก้ว ตามป่า ตามถ้ำ

 


เมื่อได้ ก้อนแก้วดิบมา นำมาล้างทำความสะอาด แล้วส่งให้ช่างนำไปเจียร












แก้วสุริยะประภา




แก้วสุริยะประภา








 
ลักษณะเด่นของแก้วสุริยะประภาคือ เป็นแก้วสีส้มอมแดงออกขุ่นมัว มีความโปร่งแสงค่อนข้างน้อยเมื่อมองดูแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยน เหมือนพระอาทิตย์ยามอัสดง ในตำราไม่ได้ระบุเจาะจงชนิดของแก้วไว้อย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นแก้วอัญมณีซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของแก้วนพรัตน์ ประเภทมุกดาหารสีส้มอมแดง (RED-ORANGE MOONSTONE) นับเป็นสีที่หายากไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก  จัดเป็นอัญมณีในกลุ่มแก้วนพรัตน์ที่มีระดับความแข็งน้อยที่สุด เชื่อกันว่าแก้วสุริยประภานั้นเป็นแก้วแห่งสติปัญญาและความรอบรู้ในศาสตร์ แขนงต่าง ๆ อีกทั้งยังบันดาลให้ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแก้วได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคล อื่น ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิหรือนักปราชญ์อีกด้วย

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

แก้ว วิทูร สีน้ำผึ้ง


แก้ววิฑูรย์




แก้ววิฑูรย์หรือไพฑูรย์ (CHRYSOBERYL) จัดอยู่ในกลุ่มของรัตนชาติ หรือหนึ่งในแก้วนพรัตน์ที่มีลักษณะโปร่งใสสีเหลือง ,สีเขียวอมเหลือง ,สีเหลืองน้ำตาล ,สีเหลืองน้ำผึ้ง   หรือสีน้ำตาลน้ำผึ้ง   ในสมัยโบราณแก้ววิฑูรย์ หรือไพฑูรย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่แก้ววิฑูรย์ที่มีสีคล้ายน้ำผึ้งแก่ซึ่งเรียกกันว่า แก้ววิฑูรย์น้ำผึ้งคือมีสีเหลืองเข้มออกน้ำตาลอมแดง

ลักษณะทั่วไปของแก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง จะมีสีเหลืองขุ่น แต่จะไม่ออกสีเหลืองมากนัก โดยจะเป็นสีเหลืองอมส้ม อาจจะมีสีเดียวทั้งเม็ด หรืออาจจะมีลายเป็นริ้ว หรือเป็นวง ๆ โดยจะมีสีเหลือง, เทา, และขาว   แก้ววิทูรส่วนใหญ่ที่พบจะมีสีออกสีเหลืองขุ่น หรือเหลืองขุ่นมีลาย ส่วนสีเหลืองใสจะพบน้อยมาก

"ผู้ใดได้ ครอบครองแก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง จะทำให้เกิดโชคลาภทวีคูณ เกิดความชุ่มเย็น มีชื่อเสียงและอำนาจ การติดต่อค้าขายจะสำเร็จดังปรารถนา และยังจะทำให้แคล้วคลาดอีกประการหนึ่ง"
เชื่อกันว่าแก้ววิฑูรย์หรือไพฑูรย์มีอานุภาพโดดเด่นในเรื่องของมิตรภาพและความเมตตากรุณา ช่วยให้ผู้ที่ได้สวมใส่เป็นเจ้าของได้รับความเห็นใจ การให้อภัย และการยอมรับจากผู้อื่น